การจัดการเงินสดและหลักทรัพย์ที่ตลาดต้องการ
ทรัพย์สินที่มีสภาพคล่อง
เงินสด (cash) คือ ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่บริษัทถือไว้ในมือในรูปของบัญชีเงินผากธนาคาร และบัญชีกระแสรายวัน
หลักทรัพย์ที่ตลาดต้องการ (marketable securities) หรืออาจเรียกว่าทรัพย์สินที่มีสภาพใกล้เคียงเงินสด คือ หลักทรัพย์ที่บริษัทลงทุนไว้ และบริษัทสามารถเปลี่ยนสภาวะของหลักทรัพย์เหล่านั้นเป็นเงินสดได้โดยเร็ว ในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี
การเคลื่อนไหวของกระแสเงินสด
การเพิ่มขึ้นของกระแสเงินสด
1.การเพิ่มขึ้นของกระแสเงินสดจาการจัดหาเงินทุนจากแหล่งภายนอกนั้น มักเป็นการจัดหาเงินในจำนวนมากๆและไม่ได้เกิดขึ้นสม่ำเสมอ (ไม่ได้เกิดขึ้นทุกวัน)
2.การเพิ่มขึ้นของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานภายในของบริษัท โดยการเพิ่มขึ้นของเงินสดประเภทนี้จะเพิ่มอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเพิ่มขึ้นของกระแสเงินสดจากการจัดเก็บเงินจากลูกหนี้ และการขายสินค้าเป็นเงินสด
- การลดลงของกระแสเงินสด
เหตุผลที่จำนวนเงินสดของบริษัทลดลงมี 3 ประการคือ
1.กระแสเงินสดที่ได้มาอย่างไม่สม่ำเสมอถูกนำไปใช้ในด้านต่างๆ ได้แก่
-จ่ายเงินปันผลหุ้นบุริมสิทธิและหุ้นสามัญ
-ชำระเป็นดอกเบี้ยให้แก่เจ้าหนี้
-จ่ายชำระเป็นเงินต้น
-ใช้เป็นเงินทุนในการซื้อหุ้นของบริษัทกลับคืน
2.กระแสเงินสดจะใช้เพื่อการลงทุนในทรัพย์สินถาวรของบริษัท
3.กระแสเงินสดจะนำไปซื้อสินค้าคงเหลืออย่างสม่ำเสมอเพื่อใช้ในการผลิตของบริษัท
เหตุจูงใจในการถือเงินสดของบริษัท
เหตุจูงใจในการถือเงินสดของบริษัทมีด้วยกัน 3 ประการ ได้แก่
1.เพื่อการใช้จ่ายในการดำเนินงานตามปกติ
การถือเงินสดไว้ใช้จ่ายในการดำเนินงานตามปกติของบริษัท จะช่วยให้บริษัทมีความสามารถในการชำระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามปกติจากการดำเนินงานของบริษัท
2.เพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน
การถือเงินสดเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉินเป็นการสำรองเงินสดหรือทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูงไว้ใช้จ่ายเมื่อมีเหตุจำเป็นของบริษัท โดยในทางปฏิบัติการถือเงินสดเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉินนั้น บริษัทมักจะถือไว้ในรูปของกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องตัวสูง
3.เพื่อเก็งกำไร
การถือเงินสดเพื่อเก็งกำไรเป็นลักษณะของการนำเงินสดส่วนเกินของบริษัทไปลงทุนหาผลประโยชน์ตอบแทน อย่างไรก็ตามการถือเงินสดเพื่อเก็งกำไรจัดเป็นเหตุผลที่มีความสำคัญน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับการถือเงินสดเพื่อใช้จ่ายตามปกติและการถือเงินสดเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน
การตัดสินใจและวัตถุประสงค์ของการจัดการเงินสด
การจัดการเงินสดและหลักทรัพย์ที่ตลาดต้องการ จะต้องพิจารณาถึงผลได้และผลเสียที่เกิดขึ้น ซื่งการถือเงินสดของบริษัทไว้มากเกินไปหรือน้อยเกินไปจะทำให้เกิดผลเสีย คือ
-การถือเงินสดไว้มากๆนั้นจะทำให้บริษัทมีความสมารถในการชำระหนี้ได้เป็นอย่างดี แต่ความสามารถในการทำกำไรจะลดน้อยลง
-การถือเงินสดไว้น้อย จะทำให้บริษัทประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง แต่ความสามารถในการทำกำไรสูง
วัตถุประสงค์ของการถือเงินสด
วัตถุประสงค์ของการถือเงินสดของบริษัทมี 2 ประเภท คือ
1.การถือเงินสดอย่างเพียงพอจะต้องสอดคล้องกับความต้องการใช้เงินสดในการใช้จ่ายของบริษัท
2.การถือเงินสดจะต้องถือให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการเงินสด
ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การถือเงินสดเพื่อการดำเนินงานของบริษัทเข้าใกล้ศูนย์ คือ
1.จะต้องมีการพยากรณ์กระแสเงินสดสุทธิที่มีความสมบูรณ์ตลอดระยะเวลาของการวางแผน
2.เงินสดรับและจ่ายของบริษัทจะต้องมีความสอดคล้องกันอย่างเหมาะสม ซึ่งการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการเงินสดที่สำคัญ ได้แก่
-บริษัทต้องมีวิธีการเร่งเงินสดรับให้เร็วที่สุด และพยายามชะลอการจ่ายเงินสดให้ช้าที่สุด
-บริษัทมีเงินสดส่วนเกินเหลืออยู่ควรนำเงินสดนั้นไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่ตลาดต้องการ
การจัดการเงินสดรับ
การเร่งเงินสดรับของบริษัทนั้นจะมีความสามารถในการลดการลอยตัว
การลอยตัว หมายถึง ระยะเวลาของเช็คที่ได้สั่งจ่ายจนกระทั่งได้รับเงินสดจากเช็ค โดยการลอยตัวจะมีส่วนประกอบสำคัญ 4 ประการ คือ
1.การลอยตัวของการส่งเช็คทางไปรษณีย์ คือ การลดระยะเวลาที่ลูกค้าส่งเช็คไปให้ผู้ขาย
2.การลอยตัวของขั้นตอนการดำเนินการนำเช็คขึ้นเงิน คือ การลดระยะเวลาที่บริษัทนำเช็คของลูกค้าไปขึ้นเงินกับธนาคาร
3.การลอยตัวของการเปลี่ยนเช็คเป็นเงินสด คือ การลดระยะเวลาของการนำเช็คไป clearing ในระบบธนาคาร
4.การลอยตัวของการจ่ายเงิน คือ การลดระยะเวลาที่เช็คได้รับการ clearing เรียบร้อยแล้วในระบบธนาคาร
การคำนวณผลประโยชน์จาการลอยตัว
ตัวอย่าง ปี 2557 บริษัท มารวย จำกัด แสดงรายได้รมเท่ากับ 158 พันล้านบาท ถ้าบริษัทสามารถลดการลอยตัวได้ 1 วัน โดยที่อัตราผลตอบแทนของการนำเงินไปลงทุนเท่ากับ 6 % มูลค่าของการลอยตัวจะเป็นเท่าใด
รายได้รวม/จำนวนวันในหนึ่งปี = 158,000,000,000/360
=438,888,888.89
แปลว่า ถ้าลดการลอยตัว 1 วัน จะเท่ากับเงิน 438,888,888.89
ดังนั้น ถ้าผลตอบแทน 6% =438,888,888.89x6%
=26,333,333.33 บาท
เทคนิคสำหรับการลดการลอยตัว
เทคนิคสำหรับการลดการลอยตัว มีดังนี้
1.การเช่าตู้ไปรษณีย์ (the lock box arrangement)
2.การจ่ายเงินด้วยเช็คที่อนุมัติล่วงหน้า (PAC)
3.ระบบธนาคารศูนย์กลาง (wire transfers)
การเช่าตู้ไปรษณีย์
ระบบการเช่าตู้ไปรษณีย์เป็นวิธีที่บริษัทผู้ขายสินค้าเช่าตู้ไปรษณีย์และมอบอำนาจให้แก่ธนาคารเป็นผู้ที่มาเปิดตู้และนำเช็คไปเข้าบัญชีของผู้ขาย โดยการเช่าตู้ไปรษณีย์นี้จะทำให้บริษัทสามารถลดการลอยตัวของขั้นตอนในการนำเช็คไปขึ้นเงินได้ประมาณ 2-4 วัน ซึ่งในกรณีที่บริษัทมีสถานที่ในการจัดเก็บเงินหลายแห่ง การดำเนินการจะเป็นไปในลักษณะของเครือข่ายตู้ไปรษณีย์ คือ จะมีตู้ไปรษณีย์กระจายอยู่หลายแห่ง
ข้อดี-ข้อเสียของการเช่าตู้ไปรษณีย์
ข้อดี -ทำให้ระยะเวลาการเปลี่ยนหนี้เป็นเงินสดลดลง ซึ่งทำให้บริษัทได้รับเงินสดเร็วขึ้น
-ทำให้สามารถลดภาระงานของพนักงานบริษัทลงได้ เนื่องจากธนาคารเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด ตั้งแต่รับเช็คจนนำเช็คไปขึ้นเงิน
-ทำให้ทราบถึงเช็คที่ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้เร็วขึ้น
ข้อเสีย –การเช่าตู้ไปรษณีย์ทำให้บริษัทมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
การจ่ายเงินด้วยเช็คที่อนุมัติล่วงหน้า
การจ่ายเงินด้วยเช็คล่วงหน้านั้นจะมีประสิทธิภาพในการแปลงสภาพของเช็คให้เป็นเงินสดได้รวดเร็วกว่าเช็คทั่วไป เนื่องจากการจ่ายเงินด้วยเช็คที่อนุมัติล่วงหน้านี้จะกระทำการโดยได้รับอนุมัติอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่ให้บริษัทสามารถถอนเงินผ่านบัญชีกระแสรายวันของลูกค้าได้ทันที โดยการจ่ายเงินวิธีนี้มีข้อได้เปรียบ คือ
-สามารถคาดการณ์กระแสเงินสดของบริษัทได้ดีขึ้น
-สามารถลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการดำเนินการรับชำระเงินจากลูกหนี้ลงได้
-สามารถทำให้เงินสดที่ใช้ในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากสามารถลดการลอยตัวลงได้
ระบบธนาคารศูนย์กลาง
-บริษัทที่มีสำนักงานขายอยู่หลายแห่งทั่วประเทศมักมรสำนักงานที่เป็นศูนย์เก็บเงินในภูมิภาคนั้นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในพื้นที่ดังกล่าวและพื้นที่ใกล้เคียงชำระค่าสินค้าและบริการได้สะดวกขึ้น
-โดยเมื่อศูนย์ได้รับเช็คจากลูกค้าแล้ว ทางศูนย์ก็จะนำเช็คไปขึ้นเงินกับธนาคารในท้องถิ่น ซึ่งเงินนั้นก็จะถูกโอนเข้าบัญชีผู้ขายที่ธนาคารศูนย์กลางอย่างรวดเร็ว
-ดังนั้นระบบธนาคารศูนย์กลางจึงสามารถลดระยะเวลาการจัดเก็บเงินได้ ซึ่งถือเป็นการลดการลอยตัวได้ดีวิธีหนึ่ง
การโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร
วิธีนี้จะทำให้บริษัทได้รับเงินรวดเร็วขึ้นอีกวิธีหนึ่ง เนื่องจากเงินที่โอนมาบริษัทสามารถนำไปใช้ได้ทันที ซึ่งวิธีดังกล่าวจะสามารถลดการลอยตัวจากขั้นตอนของการเปลี่ยนเช็คเป็นเงินสดได้
การจัดการกระแสเงินสดจ่าย
เทคนิคที่สำคัญในการปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเงินสดจ่าย มีดังนี้
1.การเปิดบัญชียอดเงินฝากเป็นศูนย์
2.การจ่ายเงินด้วยตั๋วแลกเงิน
การเปิดบัญชียอดเงินฝากเป็นศูนย์
บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสำนักงานหลายแห่งมักมีบัญชีเงินฝากอยู่หลายธนาคาร ดังนั้นระบบบัญชียอดเงินฝากเป็นศูนย์จะมีวิธีการ คือ
-เมื่อเช็คถูกเรียกเก็บเงินในแต่ละวันธนาคารจะโอนเงินจากบัญชีหลักไปยังบัญชีของสำนักงานต่างๆในจำนวนเท่ากับเช็คเรียกเก็บของธนาคารแต่ละแห่ง
-ดังนั้นยอดคงเหลือในบัญชีแห่งต่างๆ จะเท่ากับศูนย์เสมอ ยกเว้นบัญชีหลักของบริษัท
-ซึ่งการที่บัญชีมียอดเงินฝากเป็นศูนย์จะช่วยให้สามารถควบคุมการจ่ายเงินของบริษัทได้ นอกจากนั้นยังช่วยลดจำนวนเงินคงเหลือในบัญชีด้วย
การจ่ายเงินด้วยตั๋วแลกเงิน
-ตั๋วแลกเงินนั้นบริษัทจะเป็นผู้ทำหน้าที่ออกเอง โดยตั๋วแลกเงินจะยังไม่มีการจ่ายเงินในทันที แต่จะรอจนกว่าธนาคารเป็นผู้เรียกเก็บ
-โดยตั๋วแลกเงินนั้นจะมีลักษณะเหมือนเช็คตรงการเคลียริ่งผ่านระบบธนาคาร
-วัตถุประสงค์ของการจ่ายเงินด้วยตั๋วแลกเงิน คือ เพื่อควบคุมการใช้จ่ายเงินของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การชะลอจ่ายเงินด้วยวิธีอื่นๆ
ประกอบด้วย
1.การจ่ายชำระหนี้ด้วยเช็คที่ต้องนำเข้าบัญชีเงินฝาก กล่าวคือ บริษัทควรพยายามหลีกเลี่ยงการจ่ายชำระหนี้ด้วยเงินสดและเช็คเงินสด เพื่อช่วยในการชะลอการจ่ายเงินสดออกไป
2.การกำหนดให้มีการวางใบเรียกเก็บเงินล่วงหน้า
3.การกำหนดวันและเวลาการจ่ายเช็คของบริษัท
การโอนเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (EFT)
เนื่องจากในปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป้นอย่างมากดังนั้นในส่วนของการจัดการเงินสด บริษัทอาจนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ประโยชน์ในรูปแบบของการโอนเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (EFT) โดยผลดีของการโอนเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ คือ จะทำให้การจ่ายเงินรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีในส่วนของการช่วยให้บริษัทสามารถปรับปรุงการพยากรณ์เงินสดและการจัดการเงินสดได้ด้วย
การลงทุนชั่วคราวในหลักทรัพย์ที่ตลาดต้องการ
เมื่อบริษัทได้กำหนดระบบที่ใช้ในการจัดเก็บเงินและชะลอการจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ถ้าบริษัทยังมีเงินสดส่วนเกินอยู่ บริษัทควรจะต้องพิจารณานำเงินสดส่วนนี้ไปหาผลประโยชน์ตอบแทน โดยทางเลือกหนึ่งคือ การลงทุนในหลักทรัพย์ที่ตลาดต้องการเป็นการชั่วคราว
หลักเกณฑ์การเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่ตลาดต้องการ
ปัจจัยที่ควรคำนึงในการพิจารณาเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่ต้องการ ได้แก่
1.ความเสี่ยงทางการเงิน (financial risk) บริษัทควรพิจารณาว่าบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ที่สามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้นได้ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาหรือไม่ โดยถ้าพิจารณาแล้วว่าบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์มีความเสี่ยงที่จะไม่ทำตามเงื่อนไขการชำระเงินสูง ความเสี่ยงทางการเงินก็จะสูงด้วย
2.ความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย (interest rate risk) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่แน่นอนของผลตอบแทนที่ได้รับเนื่องจากการปรับเปลี่ยนของอัตราดอกเบี้ยในระบบเศรษฐดิจ
-ถ้าอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น มูลค่าของหลักทรัพย์จะลดลง
-ถ้าอัตราดอกเบี้ยลดลง มูลค่าของหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้น
3.สภาพคล่อง (liquidity) คือ ความคล่องตัวของหลักทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว ซึ่งการลงทุนในหลักทรัพย์จะต้องพิจารณาว่าหลักทรัพย์นั้นสามารถนำไปขายได้ง่ายหรือไม่ถ้าบริษัทต้องการเงินสด
4.ผลตอบแทน (yields) คือ ผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งถ้าความเสี่ยงในการลงทุนสูง ผลตอบแทนก็จะสูงตาม / แต่ถ้าความเสี่ยงจากการลงทุนต่ำ ผลตอบแทนก็จะต่ำตาม
ประเภทของหลักทรัพย์ที่ตลาดต้องการ
-ตั๋วเงินคลัง (treasury bill) คือ ตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดยรัฐบาล โดยปกติจะมีกำหนดไถ่ถอน 91-365 วัน โดยตั๋วเงินคลังจะขายต่ำกว่าราคาที่ตราไว้ เพราะนักลงทุนจะไม่ได้รับดอกเบี้ยแต่จะได้รับผลตอบแทนในรูปของผลต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขาย และเนื่องจากรัฐบาลเป็นผู้ออกตั๋วเงินคลัง ทำให้ตั๋วเงินคลังเป็นหลักทรัพย์ที่ไม่มีความเสี่ยงและมีสภาพคล่องสูง จึงทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับต่ำกว่าหลักทรัพย์ประเภทอื่น
-ตั๋วเงินที่ธนาคารรับรอง (bankers acceptances) คือ ตั๋วเงินที่ธนาคารรับรองแทนบริษัทผู้ออกว่าจะจ่ายเงินให้กับผู้ถือเมื่อครบกำหนดไถ่ถอนด้วยจำนวนเงินที่ระบุไว้หน้าตั๋ว ซึ่งตั๋วเงินที่ธนาคารรับรองนี้ถือเป็นตราสารหนี้ที่เปลี่ยนมือได้และมีระยะเวลาไถ่ถอน 30-180 วัน โดยส่วนใหญ่ตั๋วเงินประเภทนี้มักมีการซื้อขายในตลาด OTC และมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าตั๋วเงินคลัง
-บัตรเงินฝาก (negotiable certificates of deposit หรือ NCD) เป็นตราสารที่ออกให้แก่ผู้ฝากเงินเพื่อเป็นหลักฐานว่าเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ผู้ถือจะได้รับเงินจำนวนดังกล่าวคืน โดยปัจจุบันสถาบันการเงินที่ออกบัตรเงินผากได้ในประเทศไทย คือ ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน ซึ่งบัตรเงินฝากต้องมีจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าฉบับละ 5,000 บาท และอายุไม่ต่ำกว่า 3 เดือนแต่ไม่เกิน 3 ปี
-ตราสารพาณิชย์ (commercial paper) คือ ตราสารหนี้ที่ไม่มีหลักค้ำประกัน ซึ่งออกจำหน่ายโดยบริษัทที่มีขนาดใหญ่และมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ดี โดยปกติตราสารพาณิชย์จะมีอายุไม่เกิน 270 วันและจำหน่ายต่ำกว่ามูลค่าที่กำหนด ซึ่งตราสารพาณิชย์ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ
1.ตราสารพาณิชย์ที่เป็นหลักทรัพย์ ได้แก่ ตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีมูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาท
2.ตราสารพาณิชย์ที่ไม่เป็นหลักทรัพย์ ได้แก่ ตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีลูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาท
3.หุ้นกู้ระยะสั้น คือ ตราสารหนี้ที่อายุไม่เกิน 270 วัน
-สัญญาซื้อคืน (repurchase agreements) เป็นสัญญาเกี่ยวกับการขายหลักทรัพย์ ซึ่งสัญญาว่าผู้ขอกู้จะซื้อหลักทรัพย์กลับคืนในราคาที่กำหนดบวกกับดอกเบี้ยที่ระบุไว้ โดยเงื่อนไขดังนี้
1.ผู้ซื้อและผู้ขายต้องเป็นสถาบันการเงินหรือผู้ลงทุนประเภทสถาบัน
2.สัญญาซื้อคืนต้องได้มาตรฐานตามหน่วยงานที่ กลต. ยอมรับ
3.บริษัทหลักทรัพย์จะนำหุ้นที่ได้จากการทำ equity repo ไปขายไม่ได้
-กองทุนรวมตลาดเงิน (money market mutual funds) จะเป็นหน่วยลงทุนที่ออกโดยผู้จัดการกลุ่มหลักทรัพย์ที่ตลาดต้องการ โดยหน่วยลงทุนสามารถซื้อขายได้ง่าย ในราคาขั้นต่ำเท่ากับ 500 บาท ซึ่งกองทุนรวมนี้จะมีความคล่องตัวสูงเหมือนกับบัญชีออมทรัพย์และกระแสรายวัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น